วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

พุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียง


พุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียง
คำว่า เศรษฐกิจมาจากคำสองคำรวมกันคือคำว่า เศรษฐ แปลว่า ดีเลิศ และว่า กิจ แปลว่า การประกอบการ เมื่อนำคำสองคำมารวมกันจึงได้ความว่า การประกอบกิจการงานเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่าย จ่าย แจก การบริโภค และการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ผลดีเลิศ ส่วนคำว่าพอเพียงหมายถึง ความเหมาะสม หรือ ความพอดี เน้นการผลิตและการบริโภคแบบพออยู่พอกินเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้เน้นกำไรสุทธิ หรือความร่ำรวยเป็นเป้าหมายสูงสุด และเมื่อรวมกันจึงได้ความว่า การผลิตจำหน่าย และบริโภคอย่างพอเหมาะพอดี นั่นเอง ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นระบบเศรษฐกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันของเราทรงดำริ ขึ้นมา เพื่อแสวงหาทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจให้กับสังคมไทย ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ การที่พึ่งตนเองได้
วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักของเศรษฐกิจพอเพียงก็ คือ ความสงบสุขของผู้คนในสังคม ประชาชนมีกินมีใช้อย่างเพียงพอแก่ความต้องการ ที่สำคัญต้องไม่ทำตนและผู้อื่นเดือนร้อน เน้นให้คนในชุมชนพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพอเพียง ไปจนถึงขั้นการแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและเสริมทักษะทางวิชาการที่หลากหลาย ใช้ชุมชนดำรงอยู่ได้ด้วยการยึดหลักแห่งความถูกต้องดีงาม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นต้น คำว่า เศรษฐกิจมาจากคำสองคำรวมกันคือคำว่า เศรษฐ แปลว่า ดีเลิศ และว่า กิจ แปลว่า การประกอบการ เมื่อนำคำสองคำมารวมกันจึงได้ความว่า การประกอบกิจการงานเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่าย จ่าย แจก การบริโภค และการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ผลดีเลิศ ส่วนคำว่าพอเพียงหมายถึง ความเหมาะสม หรือ ความพอดี เน้นการผลิตและการบริโภคแบบพออยู่พอกินเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้เน้นกำไรสุทธิ หรือความร่ำรวยเป็นเป้าหมายสูงสุด และเมื่อรวมกันจึงได้ความว่า การผลิตจำหน่าย และบริโภคอย่างพอเหมาะพอดี นั่นเอง ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นระบบเศรษฐกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันของเราทรงดำริ ขึ้นมา เพื่อแสวงหาทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจให้กับสังคมไทย ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ การที่พึ่งตนเองได้
วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักของเศรษฐกิจพอเพียงก็ คือ ความสงบสุขของผู้คนในสังคม ประชาชนมีกินมีใช้อย่างเพียงพอแก่ความต้องการ ที่สำคัญต้องไม่ทำตนและผู้อื่นเดือนร้อน เน้นให้คนในชุมชนพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพอเพียง ไปจนถึงขั้นการแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและเสริมทักษะทางวิชาการที่หลากหลาย ใช้ชุมชนดำรงอยู่ได้ด้วยการยึดหลักแห่งความถูกต้องดีงาม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นต้น

แนวทางการปฏิบัติตามระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง
แนวคิดหลักของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การนำคำสอนทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการประสานกลมกลืนกับวิธีชีวิตของ ชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรอย่างชาญฉลาด และเป็นรูปธรรม หลักจริยธรรมดังกล่าวคือ หลักการเดินสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา ในระดับโลกิยธรรม การเดินทางสายกลาง คือธรรมที่เหมาะแก่ชาวบ้านทั่วไปได้แก่ ความเป็นรู้จักพอในการบริโภคใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติ และการใช้ชีวิตแบบไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นการเน้นการลด ละ เลิก อบายมุข ด้วยการประพฤติตามหลักเบญจศีล และ เบญจธรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นวิถีพุทธ
แนวทางการปฏิบัติตนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีดังนี้
ในหลวงกับเศรษฐกิจพอเพียง๑. ประหยัด ลดละความฟุ่มเฟือย ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้านที่ไม่จำเป็น ดังพระราชดำรัสว่า “…ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง…”

๒. ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต ดังพระราชดำรัสที่ว่า “…ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพชอบเป็นสำคัญ…”
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าขายกันอย่างรุนแรงดังอดีต ดังพระราชดำรัสว่า “…ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำที่ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น…”
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้เกิดมีรายได้จนถึงขั้นพอเพียง ดังพระราชดำริว่า “…การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกิน เป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือ ให้เกียรติว่ายืนได้ด้วยตนเอง…”
๕. ลดละสิ่งชั่วให้หมดสิ้นไป ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทว่า “…พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัวทำลายผู้อื่น พยายามลด พยายามละความชั่วที่ตนเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้นให้งอกงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้น…”

หลักธรรมในเศรษฐกิจพอเพียง
ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริและพระราชทานไว้ให้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศแก่คนไทยนั้น วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักของเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ ความสงบสุขของผู้คนในสังคม ประชาชนมีกินมีใช้อย่างเพียงพอแก่ความต้องการ ที่สำคัญต้องไม่ทำตนและผู้อื่นเดือนร้อน หากวิเคราะห์โดยละเอียดก็จะพบว่า ทรงประยุกต์มาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง จาก พระราชดำรัสอธิบายขยายความหมายของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่กล่าวมาข้างต้น นั้นทำให้เราพบว่ามีหลักธรรมต่อไปนี้ปรากฏเป็นรากฐานอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง

หลักมัชฌิมาปฏิปทา (การปฏิบัติตนในทางสายกลาง)
มัชฌิมาปฏิปทาในทางพุทธศาสนาหมายถึงทางสายกลาง คือ การไม่ยึดถือสุดทางทั้ง ๒ ได้แก่ อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกินไป และ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การพัวพันในกามในความสบาย เป็นหลักคำสอนที่ปรากฏในพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
นอกจากคุณค่าขั้นสูงสุดของหลักมัชฌิมาปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์แล้ว คุณค่าในเบื้องต้น ยังเป็นไปเพื่อการรู้จักการดำเนินชีวิตให้เกิดความพอดี เป็นแนวทางของการแก้ทุกข์ที่เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘โดยมุ่งเน้นให้มีความสุขกายและสุขใจไปด้วย ดังนี้
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง การปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญามัชฌิมาปฏิปทา
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
๓. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
๔. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง

๕. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ๆ มากเกินไป
๖. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม


๗. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
๘. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)
หลักอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เป็นคำสอนให้บุคคลพึ่งตนเอง ซึ่งแนวทางของระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็ได้มุ่งเน้นให้พึ่งตนเองในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ในการสร้างฐานะ และการเก็บรักษาทรัพย์ที่หามาได้เพื่อจับจ่ายใช้สอยในยามจำเป็น นอกจากเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วจะต้องเป็นที่พึ่งของบุคคลอื่นด้วย นอกจากในระดับบุคคลแล้ว ยังมุ่งเน้นให้การพัฒนาประเทศชาติให้พึ่งตนเองในลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงนั่นคือการพัฒนาที่ไม่อิงเศรษฐกิจโลกจนเกินไป

หลักสันโดษ
หลักสันโดษหลักสันโดษนี้มุ่งให้บุคคลพึงพอใจในสิ่งของหรือทรัพย์สินที่ตนเองได้มาและใช้ จ่ายในสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ให้บุคคลรู้จักประมาณ ได้แก่ การประหยัดและรู้จักออม ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อมีความเป็นอยู่อย่างสงบเรียบง่าย และโปร่งใส ไม่ทะเยอทะยานต่อสู้และเบียดเบียนบุคคลอื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ในคัมภีร์ มังคลทีปนี ได้ให้ความหมายของคำว่า สันโดษ ไว้ ๓ นัยคือ ยินดีสิ่งที่เป็นของตน, ยินดีในสิ่งที่มีอยู่ และ ยินดีด้วยใจที่เสมอ (ด้วยใจที่มั่นคง)
หลักสัปปุริสธรรม ๗
หลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ หรือคุณสมบัติของคนดี นั่นเอง ประกอบด้วย
๑. ธัมมัญญุตา ความรู้จักเหตุ คือรู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมดา รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการที่จะทำให้เกิดผล
๒. อัตถัญญุตา ความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมาย หรือ รู้จักผล คือ รู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้ประโยชน์ที่ประสงค์
๓. อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือ รู้ว่า เรานั้น ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นต้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสมและรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป
๔. มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ เป็นต้น
๕. กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือรู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่ควรหรือจะต้องใช้ในการประกอบกิจ ทำหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา เป็นต้น
๖. ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือรู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้ เป็นต้น
๗. ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น ๆ ด้วยดี เป็นต้น

ทิฏฐธัมมิกัตถะ
เป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่ทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง พึ่งตนเองได้ เรียกว่าธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน บางทีเรียกว่า หัวใจเศรษฐีโดยมีคำย่อคือ อุ““อา““กะ““สะดังนี้คือ
๑. อุฏฐานะสัมปทา (อุ) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาวิธีการที่แยบคายในการทำงาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักคิด รู้จักทำ รู้จักดำเนินการด้านเศรษฐกิจ ทำการงานประกอบอาชีพให้ได้ผลดี
๒. อารักขสัมปทา (อา) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยการรักษา สามารถปกป้องคุ้มครองรักษาทรัพย์สินที่หามาได้ ไม่ให้สูญหายพินาศไปด้วยภัยต่างๆ
๓. กัลยาณมิตตตา (กะ) หมายถึง การรู้จักคบคนดีหรือมีกัลยาณมิตร ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยให้เจริญก้าวหน้าในวงการอาชีพนั้นๆ ทำให้รู้เห็นช่องทางและโอกาสต่างๆ ในการงาน ทันต่อเหตุการณ์ ตลอดจนรู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ของตนอย่างถูกต้อง ไม่ถูกมิตรชั่วชักจูงไปในทางอบายมุข ซึ่งจะทำให้ทรัพย์สินไม่เพิ่มพูนหรือมีแต่จะหดหายไป
๔. สมชีวิตา (สะ) หมายถึง ความเป็นอยู่พอดี หรือความเป็นอยู่สมดุล คือเลี้ยงชีพแต่พอดี ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฝืดเคือง ให้รายได้เหนือรายจ่าย มีเหลือเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น

โภคาวิภาค ๔
เป็นวิธีการจัดสรรทรัพย์ในการใช้จ่าย โดยจัดสรรทรัพย์ออกเป็น ๔ ส่วน ดังนี้คือ
๑. แบ่ง ๑ ส่วน เพื่อใช้บริโภคเลี้ยงตนเองให้เป็นสุข เลี้ยงดูครอบครัว และคนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เป็นสุข และใช้ทำความดี บำเพ็ญประโยชน์แต่สาธารณะ เป็นต้น
๒. แบ่ง ๒ ส่วน เพื่อจัดสรรไว้สำหรับลงทุนประกอบกิจการงานต่างๆ
๓. แบ่ง ๑ ส่วน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เช่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น

โภคอาทิยะ ๕
คือ เมื่อมีทรัพย์สิน ควรนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย


๑. ใช้จ่ายทรัพย์นั้นเลี้ยงตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว มารดาบิดา ให้เป็นสุข
๒. ใช้ทรัพย์นั้นบำรุงเลี้ยงมิตรสหาย ผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
๓. ใช้ป้องกันภยันตรายต่าง ๆ
๔. ทำพลี คือ การสละบำรุงสงเคราะห์ ๕ อย่าง ได้แก่ อติถิพลี (ใช้ต้อนรับแขก), ญาติพลี (ใช้สงเคราะห์ญาติ), ราชพลี (ใช้บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร), เทวตาพลี (บำรุงเทวดา), ปุพพเปตพลี (ทำบุญอุทิศให้แก่บุพการี)
๕. ใช้เพื่อบำรุงสมณพราหมณ์

กามโภคีสุข ๔ (สุขของคฤหัสถ์ ๔)
คือ คนครองเรือนควรจะมีความสุข ๔ ประการ ซึ่งคนครองเรือนควรจะพยายามให้เข้าถึงให้ได้ คือ
๑. อัตถิสุข - สุขเกิดจากการมีทรัพย์ เป็นหลักประกันของชีวิต โดยเฉพาะความอุ่นใจ ปลาบปลื้มภูมิใจว่าเรามีทรัพย์ที่หามาได้ด้วยกำลังของตนเอง
๒. โภคสุข -สุขเกิดจากการบริโภคทรัพย์ หรือใช้จ่ายทรัพย์ คือ รู้จักใช้จ่ายทรัพย์นั้นให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของตน เลี้ยงดูบุคคลอื่น และทำประโยชน์สุขต่อผู้อื่นและสังคม เป็นต้น
๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ไม่ต้องทุกข์ใจ เป็นกังวลใจเพราะมีหนี้สินติดค้างใคร
๔. อนวัชชสุข -สุขเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่สุจริต ที่ใครจะว่ากล่าวติเตียนไม่ได้ มีความบริสุทธิ์ และมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของตน


สรุป
พุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียงกล่าวโดยสรุปแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลักเศรษฐศาสตร์ตามแนวพุทธ ที่มุ่งให้มนุษย์จำกัด หรือความอยาก หรือความต้องการของตนเอง แทนการกระตุ้นตัณหาหรือความอยาก เพื่อให้เกิดการบริโภคมากขึ้น (บริโภคนิยม) เนื่องจากพระพุทธศาสนาเห็นว่าความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันทรัพยากรมีขีดจำกัด หากมีการใช้เกินความจำเป็น ทรัพยากรเหล่านั้นก็จะหมดสิ้นไปในที่สุด การปฏิบัติตนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจึงต้องหันมาแก้ไขที่ตนเองก่อน จำกัดความอยาก ความต้องการ ให้รู้จักพอดี ไม่บริโภคเกินความพอดี หรือตกเป็นทาสของวัตถุ
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดที่ถูกหล่อหลอม มาจากความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนต้องศึกษาให้เข้าใจ และต้องนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นจริงของชีวิต ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ สิ่งใดควรยึดถือเป็นที่พึ่ง สิ่งใดไม่ควรยึดถือเป็นที่พึ่ง เมื่อได้ศึกษาจนเข้าใจ และนำไปปฏิบัติจนเกิดผลแล้ว จนพบความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตคืออะไร เมื่อนั้นก็จะได้เข้าใจในหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดี เพราะหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นนโยบายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนานั่นเอง

ความสอดคล้องของหลักเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา
๑. เน้นความเป็นเศรษฐกิจแบบองค์รวม กล่าวคือ เป็นระบบการพัฒนาชีวิตของปัจเจกบุคลควบคู่กันไปกับการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยมีจริยธรรมคือความเมตตา ความเกื้อกูลสงเคราะห์ ความสามัคคี ความไม่เห็นแก่ตัว ดังหลักของระบบเศรษฐกิจพอเพียงที่กล่าวไว้ว่า มนุษย์อยู่ดี ชุมชนอยู่ได้ ธรรมชาติยั่งยืน
๒. เป็นระบบเศรษฐกิจแบบมัชฌิมาที่มีสัมมาอาชีวะเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งสามารถโยงไปสู่การที่พระพุทธศาสนามีท่าทีปฏิเสธความสุดโต่ง ๒ ด้าน คือ การหมกมุ่นในกามสุขอย่างเดียว และ การทรมานตนเองในรูปแบบต่างๆ
๓. เป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งพัฒนาทั้งคนและทั้งกระบวนการทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าคนไทยปฏิบัติตามระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงก็จะส่งผลให้เกิดภาวะ เศรษฐกิจก็งอกงาม ธรรมก็งอกเงย คนก็มีความสุข
๔. เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ไม่มุ่งทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนกลายเป็นการทำร้ายธรรมชาติ
๕. เป็นระบบเศรษฐกิจที่ฝึกให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงศักยภาพในด้านการสามารถพึ่งตนเองได้ของมนุษย์

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.buddhabucha.net

พระพุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียง1


พระพุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียง

         พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันทรงเสนอแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งมีฐานมาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการพึ่งตนเอง อตฺตา หิ อตฺตาโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน)
(พระเทพโสภณ. 2544 : 12)

         
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

         เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัวระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และ
ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
เศรษฐกิจที่ผ่านมาเป็นเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของคนส่วนน้อย โดยทำลายคนส่วนใหญ่ และทำลายฐานทรัพยากรทั้งหมดทำให้ไม่ยั่งยืนและวิฤกติ เป็นเศรษฐกิจฉกฉวยและเศรษฐกิจเทียม ที่สร้างปัญหาให้สังคมไทยนานัปประการ ควรจะใช้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแก้เพื่อปวงชน เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้ทุกคนมีพออยู่พอกิน


          
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง มีจิตใมจพอเพียง มีวิริยะ (ความเพียร) พอเพียง มีปัญญาพอเพียง มีวัฒนธรรมพอเพียง มีสิ่งแวดล้อมที่พอเพียง และมีความเอื้ออาทรต่อกันพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจที่บูรณาการ เป็นเศรษฐกิจแท้ที่ต้องเป็นไปเพื่อ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนแข้มแข็ง และสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

          
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง

          เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงและเกณฑ์คุณค่า 3 ประการคือ
ประการแรก สำนึกความเป็นชุมชนและสังคมหนึ่ง หมายความว่า ประเทศชาติมีคุณค่าและความหมายเป็นหน่วยชีวิต สังคมและการดำรงอยู่ คงอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน และสันติสุขของมวลมนุษย์ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และระดับโลก ดังนั้นเศรษฐกิจจึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมโดยรวม ไม่ใช่ควบคุมกลไกทั้งหมดของสังคม

ประการที่สอง ความประสานกลมกลืนของเสรีภาพกับความเป็นธรรมทางสังคม หมายความว่า จะต้องประสานหลักปฏิบัติเสรีภาพและประสิทธิภาพของกลไกเศรษฐกิจที่ว่านี้ ให้สอดคล้องต่อเกณฑ์คุณค่าและการดำรงอยู่ของชีวิต สังคม ที่เป็นอิสระเสรีมีเสถียรภาพและเป็นธรรม

ประการที่สาม คุณค่าศักยภาพพัฒนาตนเองของคนเรา หมายความว่า เราจะไม่ยึด ระบบมากเกินไป แต่ยึดถือคนกับคุณค่าชีวิตและสังคมเป็นที่พึ่งมากกว่าการพึ่งพิงระบบเศรษฐกิจ

         หลักการทั้งสามนี้ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประกอบเป็นวิถีชีวิตอันเที่ยงธรรมตาม


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m3/Unit7/unit7-1.php

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

พุทธศาสนากับนิเทศศาสตร์


พุทธศาสนากับนิเทศศาสตร์
.. บำรุง สุขพรรณ์
๑๘  กันยายน  ๒๕๔๗

พระพุทธศาสนากับนิเทศศาสตร์

                   พระพุทธศาสนากับนิเทศศาสตร์  มีความเกี่ยวพันกันเหมือนมือที่เราใช้ทำหน้าที่ในแต่ละนิ้ว
                 นิเทศศาสตร์ (COMMUNICATION  ART) 
                  นิเทศศาสตร์   COMMUNICATION    แปลว่า  การติดต่อ การสื่อสาร ข่าวที่ส่ง (รับ)
นิเทศศาสตร์”   กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์   เป็นผู้บัญญัติคำขึ้น เป็นความหมายเดียวกับ   วารสารศาสตร์และสื่อมวลชน” 
                     การสื่อสาร  “COMMUNICATION”  เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังผู้รับ  การสื่อสารจำเป็นต้องให้รู้เรื่อง  มีผู้พูด-ผู้ฟัง  การพูดต้องมีคนฟัง
                   ข่าวสาร เป็นปัจจัยสำคัญใช้ในการประกอบการตัดสินใจในกิจกรรมของมนุษย์  ความต้องการข่าวสารจะเพิ่มมากขึ้น  เมื่อบุคคลนั้นต้องการข้อมูลในการตัดสินใจ  บุคคลจะไม่รับข่าวสารทุกอย่างที่ผ่านมาสู่ตนทั้งหมด  แต่จะรับรู้เพียงบางส่วน  ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเอง  แรงผลักดันที่ทำให้บุคคล  เลือกรับสื่อนั้น  จะมีความแตกต่างกันตามคุณสมบัติพื้นฐานของบุคคล
                    หลักการสื่อสารที่ทำให้สัมฤทธิ์ผล
                    หลักการสื่อสารที่ทำให้สัมฤทธิ์ผลนั้น  ประกอบด้วย  ผู้ส่งสาร สารช่องทาง ผู้รับ
                     SOURCE                    MESSAGE                   CHANNEL               RECIEVER
                          S                                    M                                   C                               R
                    ในส่วนพุทธศาสนามี  ๓  ส่วน คือ พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ คือพระรัตนตรัย

                    พระพุทธ    
                                                                                                             MESSAGE
                    พระธรรม
                    พระสงฆ์              SENDER  =   ผู้เผยแผ่
                    ผู้ส่งกับผู้รับ  ต้องมีความเข้าใจเท่า ๆ กัน
                                มีข้อสังเกต  ๕  ประการ
                    . มีประสบการณ์ที่เหมือนกัน  COMMUNICATION  SKILL 
                    . KNOWLEDGE  ความรู้ ถ้าเราเป็นคนที่เก่งกว่าให้ปรับความรู้ของเราลงให้เท่ากับผู้ฟัง  คือพูดให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย
                    . ATTITUDE  ทัศนคติ  ความชอบหรือไม่ชอบอะไร       
                    . SOCIAL  SYSTEM   สังคมประเพณี  รูปแบบเป็นเรื่องที่เราต้องเข้าใจ  ยกตัวอย่าง  เช่น  การสมานลักษณ์  ระหว่างคนไทยกับคนจีน  ต้องรู้จักสังคมประเพณีของเขา  ไม่เช่นนั้นจะขาดการสื่อสารที่ดี
                      -  ราชวงศ์  ROYAL  ห้ามพูดเล่น  เพลงชาติ  ธงชาติ  ห้ามเอามาเล่นอ่านข่าวพระราชวงศ์ต้องเรียงลำดับ  ความสำคัญก่อนหลัง
                       -  RELIGIONS  เรื่องศาสนาห้ามพูดเล่น  ห้ามเปรียบเทียบ
                       -  RACE  ผิวพรรณ วรรณะ เกิดความขัดแย้ง เช่น ผิวดำ ขาว มีกลุ่ม,มีพวกมีพรรค,ภาค
                       -  RUMOUR  ข่าวลือ   ข่าวใดที่ไม่มีหลักฐานแน่นอน  อย่าพูดต่อ  ต้องคิดก่อนแล้วพูด
                       . CULTURE  วัฒนธรรม  การไหว้เป็นศิลป  เป็นวัฒนธรรมไทย  คนไทยมีวัฒนธรรมที่ดี  เช่น สวัสดี ยิ้ม ไหว้ ทักทาย ขอบคุณ
                        เราต้องเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน ต้องเลือกงานให้เหมาะสมกับคน เพราะคนมีความแตกต่าง
                        แนวคิดเกี่ยวกับสื่อที่ใช้ในการสื่อสาร
                        สื่อนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในกระบวนการสื่อสาร  เพื่อที่จะนำหรือถ่ายทอดสิ่งที่เรียนว่าสารไปยังกลุ่มเป้าหมายหรือผู้รับสารเพื่อให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้  เช่นทำให้ผู้รับสารเกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้  ทัศนคติ  พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมไปในทางที่ดีขึ้น  ช่องทางการสื่อสารหรือสิ่งที่ใช้นั้นประกอบไปด้วย  การสื่อสารมวลชน  ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงประชาชนกลุ่มใหญ่ได้รวดเร็วที่สุด  สื่อบุคคล  เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจได้ดีที่สุด  สื่อเฉพาะกิจ  ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้  เฉพาะเจาะจง
                         สื่อมวลชน  หมายถึง  สื่อที่ส่งสารสามารถส่งข่าวสารไปยังผู้รับสาร  ซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนมากไม่สามารถจำกัดจำนวน  และอยู่ในที่ต่างๆ กันอย่างกระจัดกระจายได้ในเวลาอันรวดเร็ว  ประกอบด้วยสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กโทรนิคส์  คือ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร
                          สื่อบุคคล  คือการสื่อสารที่ประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ทำการสื่อสารในลักษณะตัวต่อตัว  คือทั้งฝ่ายผู้ส่งสารและผู้รับสาร  สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนสารกันได้โดยตรง  สื่อบุคคลมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวหรือชักจูงให้บุคคลเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม  ซึ่งต่างจากสื่อมวลชนที่มีบทมา  สำคัญอยู่ที่การให้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ แก่มวลชน
                          สื่อเฉพาะกิจ  เป็นสื่อที่สร้างขึ้น  หรือซื้อ หรือเช่า โดยองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพื่อใช้ในการสื่อสารหรือประชาสัมพันธ์องค์กรนั้นโดยเฉพาะ  โดยทั่วไปจะมีกลุ่มประชาชนที่เป็นเป้าหมายแน่นอน  มีการส่งเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์  เฉพาะกลุ่มๆนั้น รูปแบบของสื่อเฉพาะกิจได้แก่  จุลสาร  แผ่นพับ  โปสเตอร์  ใบปลิว  จดหมายข่าว คู่มือ  นิทรรศการเป็นต้น
                           การสื่อสารของมนุษย์  ต้องได้ ๑๐๐ดังนี้
                           มองเห็น  ๘๓ทุกครั้งที่ท่านแต่งกาย ต้องมีส่วนให้ถูกมองเห็นในทางที่ดีถูกกฎ ถูกกฏระเบียบ สง่า ภูมิฐาน ต้องคำนึงถึงผู้ที่มองเห็นเรา
                          ได้ยิน   ๑๑%
                           ได้กลิ่น  %
                           ได้กลิ่น  %
                           ได้กลิ่น  .%
                            ความสัมพันธ์ระหว่าง  นิเทศศาสตร์  กับพุทธศาสตร์  เป็นการบูรณาการระหว่างความรู้
                          S                                    M                                   C                               R  
                       พระพุทธเจ้า           SOURCE
                          พระธรรม               MESSAGE
                          ช่องทาง วิธีการ      CHANNEL
                          พระสงฆ์                RECIEVER
                          ปัจจุบัน                                  ประกาศธรรมให้ประชาชน
 

                    SENDER                         M                          C                        
                     บทบาทของ  SENDER  ควรมีลักษณะ ๕ ประการ
                      . ต้องเป็นคนที่รอบรู้
                      . รู้รอบ   รู้ให้มาก เป็นประโยชน์ในการทำงาน
                      . รอบคอบ  การเขียน การพูดต้องให้ถูกต้อง  บางคำที่ไม่แน่ใจ ไม่พูด
                      . รวดเร็ว     ทำงานให้รวดเร็ว
                      . รู้จักสามัคคี
                      การเผยแผ่ธรรมะ
                      หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าได้เสวยความสุขที่เกิดจากความหลุดพ้นจากกิเลส เป็นเวลา ๔๙ วัน พระองค์ได้เสด็จไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันได้ทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์  จนพราหมณ์โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมและได้ขอบวชการที่พราหมณ์โกญฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนท่านอื่นนั้นย่อมแสดงให้เห็นถึง คนรับสารมีความแตกต่างกัน  พระพุทธองค์ทรงใช้การสื่อสารหลายรูปแบบ  เพราะพระองค์ทรงรู้ธรรมชาติของคน(ดอกบัวสี่เหล่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ฉลาดรู้จักในการใช้คน  เพราะความสามารถของบุคคลแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ในการเผยแพร่ธรรมต้องอาศัย
                   สื่อ  (MEDIA)
                                - สื่อบุคคล
                       - สื่อสิ่งพิมพ์ (เย็น) สื่อช้า
                       - สื่อไฟฟ้า (ร้อนวิทยุ  โทรทัศน์
                       - สื่อมวลชน  มี หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
                       สื่อที่ดีที่สุด คือ สื่อบุคคล  สื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยแต่ไม่ใช่เป็นตัวหลัก  บุคคลเท่านั้นที่เป็นตัวหลัก
                        การเทศน์สมัยใหม่  มี  ๔  ขั้นตอน
                        . เตรียมให้พร้อม
                        . ซ้อมให้ดี
                        . อักระวิธี
                        . ลีลาการเทศน์
                       ทุกครั้งที่ทำการเทศน์  ให้พูดเกี่ยวกับเรื่องความดีงาม  เรื่องของสวรรค์ห้ามเทศน์เรื่องนรก  เพราะสิ่งที่มนุษย์ต้องการคือสิ่งที่มนุษย์ไม่มีและอยากได้การทำให้มีความสุขขึ้น  ดีขึ้น  รวยขึ้น  วัดธรรมกายใช้นโยบายในการเทศน์แนวนี้
                       ภาษาที่เทศน์
                       . ชัดเจน  แจ่มแจ้ง  ถ้าไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง  ควรขยายให้เข้าใจง่ายการพูดซับซ้อน  เป็นอันตรายต้องหลีกเลี่ยง  คำปฏิเสธซ้อนปฏิเสธไม่ควรใช้เพราะประสิทธิภาพของการฟังมี ๑๑ % เท่านั้น
                       . วันเวลา  ต้องพูดให้เต็ม  ห้ามใช้คำย่อ
                       . คำเฉพาะ  ต้องอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง  พูดให้ถูกต้อง
                      . คำราชาศัพท์  ต้องศึกษาให้ดี  อย่าให้ผิด
                      . ภาษาถิ่น  ถ้าไม่แน่ใจให้หลีกเลี่ยง
ฝึกอ่าน  ฝึกพูด” 
                            I M C  =   นิเทศศาสตร์มีประโยชน์ในการตลาด
                            INDICATION
                            MARKET
                            COMMUNICATION
                  
                              นิเทศศาสตร์  มีประโยชน์ในการตลาด
                              . ทำสิ่งแปลก ๆ
                              . หาความใหม่
                              . หาความใหญ่
                              . หาความดัง
                              
                            


 หลักการประชาสัมพันธ์เชิงพุทธ
                              การประชาสัมพันธ์เชิงพุทธนั้น  มุ่งเน้นที่การเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  โดยในสมัยพุทธกาลนั้น  พระเจ้าเองเป็นผู้สื่อสารหลักธรรมต่าง ๆ ไปสู่เหล่าพุทธบริษัท  เป็นการชี้ผิดบอกถูกให้ผู้ฟังที่เลื่อมใสนำไปปฏิบัติตามจนเกิดความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  เนื่องจากรู้แจ้งเห็นจริงในผลที่ได้จากการปฏิบัตินั้น  ซึ่งส่งผลให้มีผู้สืบทอดพระพุทธศาสนามากขึ้นและส่งผลต่อความเจริญทางจิตใจของกลุ่มชนในสังคมมากขึ้น
                             ในยุคปัจจุบัน  ผู้ส่งสาร  คือพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ตามหลักธรรมคำสอน  ซึ่งนอกจากจะมีความรู้ในพระพุทธธรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว  ก็ต้องติดตามเหตุการณ์ให้ทันข่าว  ทันโลก  ทันสมัย  เพื่อไม่ให้มีประสบการณ์และความรู้ที่ต่างไปจากผู้รับสาร  คือ พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันส่วนข้อมูลหรือข่าวสารทางพระพุทธศาสนา คือ พระธรรมนั้น  มีเนื้อหาสาระที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้เวลาจะล่วงไปสองพันกว่าปีแล้วก็ตาม  เนื่องจากเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และนำมาบอกแก่บุคคลทั้งหลายโดยไม่หวังประโยชน์ใด ๆ เป็นการตอบแทน  นับว่าพระองค์มีพระคุณที่เพียบพร้อมด้วยพระปัญญาคุณ  พระมหากรุณาธิคุณ  และพระบริสุทธิคุณ  เป็นที่สุด